‘สงครามการค้า’ รอบใหม่ กับความหวัง 'ทีมไทยแลนด์' เจรจาการค้า
สวนทางกับยุโรป ที่สามารถส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ
ไทยต้องเตรียมความพร้อมในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อปกป้องผลประโยชน์
สงครามการค้าสหรัฐ-จีน: ใครจะยอมอ่อนข้อนั่งเจรจาก่อนกัน ?
โลกทัศน์ของทรัมป์ตั้งอยู่บนลัทธิพาณิชย์นิยมฉบับกระด้าง นักเศรษฐศาสตร์คนไหนก็ตามที่พยายามพูดเรื่องการค้าระหว่างประเทศกับคนที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ต่างรู้ดีว่า ลัทธิพาณิชย์นิยมฉบับกระด้างนั้นโดนใจคนหมู่มาก มันคือความคิดที่ว่าเราชนะเมื่อชาวต่างชาติซื้อของของเรา และเราแพ้เมื่อเราซื้อของของพวกเขา ความคิดนี้ดูเป็นสามัญสำนึกสำหรับคนจำนวนมาก เช่นเดียวกับความคิดที่ว่า เราขาดดุลการค้าเพราะประเทศอื่นต้องเล่นไม่ซื่อกับเราแน่ๆ พวกเขาต้องฉวยโอกาสจากคำมั่นสัญญาที่ไร้เดียงสาของเราต่อการค้าเสรีชัวร์ๆ
โอเค มาถึงตอนนี้ ผมก็ได้อธิบายวิธีคิดมาตรฐานเกี่ยวกับสงครามการค้า วิธีคิดซึ่งลงหลักปักฐานแล้ว สงครามการค้า แต่โชคร้ายที่ทั้งหมดนั้นก็ยังอธิบายชั่วขณะปัจจุบันของเราไม่ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะวิธีคิดทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า ภาษีศุลกากรถูกกำหนดในเกมที่ผู้เล่นทุกรายมีเหตุมีผล พวกเขาเข้าใจดีว่าการค้าทำงานอย่างไร ต่างคนต่างลงมือทำในสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ต่อให้ผลลัพธ์รวมหมู่ของการกระทำเหล่านั้นจะออกมาเลวร้ายต่อสังคมก็ตาม
การตั้งกำแพงภาษีระหว่างประเทศอาจดูเป็นวิธีการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศในระยะสั้น แต่ในระยะยาว มันสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทำให้การค้าระหว่างประเทศลดลง ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้าที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง
ไทยกระทบเรื่องอะไรบ้าง ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ในที่สุดสหรัฐฯ กับจีนก็เจรจากันแล้ว ทำไมต้องเป็นตอนนี้?
ในระหว่างนี้ ผู้บริโภคและผู้ประกอบการทั่วโลกต้องรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นหรือความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน ในโลกที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสองประเทศนี้ แต่ยังกลายเป็นกระจกสะท้อนความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลกที่ต้องการการปฏิรูป
การทอดทิ้งข้อตกลงการค้าของเราทั้งหมดแปลว่า ทรัมป์ได้ทำให้ความโง่งม – ของตัวเขาเองและสุดท้ายก็ของคนอื่นด้วย – กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เขากระชากเรากลับสู่โลกที่ลัทธิพาณิชย์นิยมแบบกระด้างและทำลายล้างจะเฟื่องฟู
ท้ายสุด ค่าเงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่าสูงสุดในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
แต่ช่วงเวลาที่ดีต่อเนื่อง ไม่เคยเกิดขึ้นจริง..
ซึ่งถ้าเราไปดูมูลค่าการส่งออกจากสหรัฐฯ ไปยังยุโรป